รีวิว The Sound of music : เสียงดนตรีที่เปรียบดังความสดใสในวันที่โลกมืดมน

The Sound of music
มนต์รักเพลงสวรรค์



เหมาะสมกับตำแหน่งตำนานแห่งหนังมิวสิคเคิลจริงๆ สำหรับ The sound of music นี่เป็นหนังที่รวบรวมเรื่องราวของบทเพลง ครอบครัว และสงคราม ไว้ด้วยกันได้อย่างงดงามมากๆ ใครที่ชอบดูหนังมิวสิคเคิลไม่ควรพลาด



หนังเล่าถึงเรื่องราวของมาเรียแม่ชีสุดก๋ากั่นที่ถูกส่งไปช่วยดูแลลูกๆ ของกับตัน ฟอน แทรปผู้สูญเสียภรรยาไป และเลี้ยงดูลูกๆ ทั้ง 7 ด้วยความเข้มงวด การมีมาเรียเข้ามาอยู่ในบ้าน ทำให้ครอบครัวแทรปค่อยๆ เปลี่ยนไปทีละน้อย เธอพาความสุขและเสียงดนตรีกลับเข้ามาในบ้านที่เงียบเหงามานานแสนนาน 



บ้านที่เด็กๆ ไม่ได้รับอนุญาตให้ร้องเพลง ก็ไม่ต่างอะไรกับการเป็นนักโทษที่ถูกขังอยู่ในคุกอย่างที่มาเรียกล่าว การที่มาเรียนำเอาเสียงดนตรีเข้ามาในบ้าน นำเอาความรัก ความสนใจมาให้เด็กๆ มันเป็นเหมือนการได้ปลดปล่อยพวกเขาออกมาเผชิญกับความเป็นเด็กที่พวกเขาควรจะได้รับมัน ซึ่งการถ่ายทอดด้วยพลังให้ความสุขตรงนั้นมันทำให้เราน้ำตาซึมได้




สิ่งนึงที่หนังทำได้ และทำสำเร็จคือการส่งมอบความสุขมาให้คนดู ตลอดเวลาที่ได้ดูเรามีความสุขมากๆ หัวใจมันเต็มอิ่ม ตื้นตันไปกับความสวยงามของเสียงดนตรี ความไร้เดียงสาของเด็กๆ ด้วยองค์ประกอบภาพรวมในหนังมันครบถ้วนสมบูรณ์ด้วยตัวเอง ทำให้ The sound of music กลายเป็นหนังที่ดูง่าย ย่อยง่าย มีความสุข และเข้าไปอยู่ในใจคนได้ไม่ยาก



แต่ในส่วนทางด้านเนื้อหา เราแอบรู้สึกว่าหนังใช้เวลาได้สิ้นเปลืองไปซักหน่อย สามชั่วโมงมันดูเป็นเวลาที่มากไป ทำให้บางช่วงมีแอบยืดเยื้อ และเนื้อเรื่องไม่ค่อยสมเหตุสมผลไปบ้าง 



พาร์ทที่เราชอบมากๆ คือความสัมพันธ์ระหว่างมาเรียและเด็กๆ เราว่าครึ่งเรื่องแรกที่มาเรียกับเด็กๆ อยู่ด้วยกัน มันน่ารัก อบอุ่น และทำให้คนดูรู้สึกดี เด็กๆ แต่ละคนคือน่ารักมากๆ เป็นซีนที่ทำให้เราเห็นพลังของเสียงดนตรี ความสดใส ความละมุนของเรื่องมันกลมกล่อมไปหมด แต่พาร์ทที่เราไม่อินมากๆ คือความสัมพันธ์ของมาเรียกับกัปตันฟอน ซึ่งเรารู้สึกว่ายังปูมาไม่เข้มแข็งพอ ทั้งที่หนังมีเวลาเยอะมาก แต่เหมือนกับรวบรัดความสัมพันธ์ตรงนี้ไปหน่อย ทำให้เราเชื่อไม่ได้ว่าทั้งคู่นั้นรักกัน ไม่เหมือนกับความสัมพันธ์ของมาเรียและเด็กๆ ที่เห็นได้ชัดว่าเธอรักและเอ็นดูพวกเขาจริงๆ



สิ่งที่ชอบที่สุดในเรื่อง คือดนตรีประกอบ มันดีไปซะหมด เราชอบความที่เพลงแต่ละเพลงมีการใส่ลูกเล่นเสียงเล็กๆ น้อยๆ ที่ทำให้เวลาฟังแล้วรู้สึกถึงมิติบางอย่างในเพลง มันน่ารัก และสวยงามมากๆ หนังสามารถดำเนินเรื่องราวผ่านทางบทเพลงได้อย่างสวยงาม วิธีการถ่ายทอดบทเพลงแต่ละเพลงก็เช่นกัน ทุกเพลงมันมีกิมมิคในตัวเองและมีภาพจำที่คนดูอย่างเราถ้าได้มีโอกาสได้ยินเพลงในเรื่องนี้จากที่ไหนอีกครั้ง ภาพของซีนนั้นๆ ในเรื่องจะต้องผุดขึ้นมาในหัวอย่างแน่นอน



นักแสดงแต่ละคนแคสมาดีมากๆ เด็กๆ ทั้ง 7 ที่มีความน่ารัก น่าเอ็นดู ทำให้เราตกหลุมรักพวกเขาได้ไม่ยาก ที่น่าชื่นชมมากๆ คือ จูลี แอนดรูว์  เธอเป็นผู้หญิงที่มีเสน่ห์น่ามอง ไม่ว่าจะโผล่เข้ามาในซีนไหนก็จะทำให้ซีนนั้นดูสดใส ร่าเริง แล้วก็มีความสุขไปซะหมด มาเรียเป็นคาแรกเตอร์ที่ปล่อยพลังงานแห่งความสุขแบบล้นหลามออกมาได้เยอะมากจริงๆ สุดท้ายคือ คริสโตเฟอร์ พลัมเมอร์ เราเคยเห็นเขาแต่ในวัยคุณปู่ ในวัยหนุ่มแบบนี้ดูดีมากจริงๆ ไม่แปลกใจที่จะเป็นคุณปู่ที่หล่อเท่ขนาดนั้น



8/10

I Know You Have Good Taste :)



Click ME


👇





ดูจบแล้วมาคุยกัน


เราชอบการใส่ประเด็นเรื่องสงครามไว้ตอนท้าย คำพูดที่มาเรียพูดกับเด็กๆ ว่า

 

ตอนนี้เพลงก็ช่วยอะไรไม่ได้แล้ว


มันเหมือนตอกหน้าหนังช่วงต้นที่ผ่านมายังไงอย่างงั้น เสียงดนตรีอาจทำให้ใจคุณเป็นสุข สงบลงได้ก็จริง แต่ความโหดร้ายในชีวิตจริงอย่างเรื่องสงครามความโลกสวยในโลกแห่งเสียงดนตรีมันไม่อาจหยุดยั้งสิ่งนี้ได้อีกต่อไปแล้ว 



เพลงในเรื่องมันดีมากจริงๆ ดูไปน้ำตาซึมไปในความสวยงามและอบอุ่นหัวใจนี้ นอกจากซีนที่เด็กๆ ไปเที่ยวกับมาเรีย เพลง 16 going to 17 เป็นอีกเพลงที่เราชอบ และรู้สึกว่าซีนเต้นรำในห้องกระจกนั้นสวยงามมากๆ และการสร้างเรื่องราวให้บุรุษไปรษณีย์เลือกเดินไปกับฝ่ายนาซีในตอนจบเราว่ามันเป็นเนื้อเรื่องที่ดี แต่น่าเสียดายที่หนังไม่ค่อยขยี้จุดนี้เลย ถ้าเอาเรื่องสงครามที่อุตส่าห์ใส่ไว้ตลอดทางมาเล่นอะไรอีกซักหน่อยในตอนท้าย มันอาจกลายเป็นอะไรที่ตราตรึงกว่านี้



ซีนที่กัปตันฟอนเปิดใจรับเสียงดนตรีเข้ามาในบ้านจากการได้ยินลูกๆ ร้องเพลงมันมีพลังมากจริงๆ มันอาจเป็นซีนง่ายๆ ที่ไม่ได้ดูมีน้ำหนักมากขนาดนั้น แต่สำหรับเรา เราเชื่อในซีนนั้นมากๆ เราเชื่อว่าเสียงเพลงมันมีพลังให้ใครซักคนรู้สึกถึงความสวยงามของมัน และพร้อมที่จะปลดปล่อยความรู้สึกเศร้า โกรธ หรือเคียดแค้นอะไรบางอย่างไป ความน่ารักไร้เดียงสาและบทเพลงอันไพเราะที่ออกมาจากปากพวกเขามันมีพลังมากขนาดนั้น 



พอได้ดูเรื่องนี้ก็อดเอาไปเปรียบเทียบกับ Singing in the rain ไม่ได้ ส่วนตัวเราชอบเรื่องนั้นมากกว่านิดหน่อย ด้วยความที่เรื่องนี้มันยังมีพล็อตบางจุดที่ทำให้เราแอบขมวดคิ้วไปบ้าง






ความคิดเห็น