รีวิว La La Land : เริ่มต้นด้วยความสวยงามของความรักและความฝัน ก่อนจะพากลับเข้าสู่ความเป็นจริงอันขมขื่น

 La la land นครดารา




เพราะในบางโอกาสของชีวิต ความรัก และ ความฝัน อาจไม่ใช่สิ่งที่ไปด้วยกันได้ตลอดรอดฝั่ง



ย้อนกลับไปในวันประกาศผลออสการ์ โมเม้นที่ลาลาแลนด์ถูกประกาศชื่อว่าได้รางวัลภาพยนต์ยอดเยี่ยมทำเอาเราน้ำตาไหลพราก มันเต็มไปด้วยความอิ่มใจ ความตื้นตัน พลางนึกถึงช่วงเวลาที่เราดูหนังเรื่องนี้อยู่ในโรง ความรู้สึกของเรา ตอนนั้นคือเรื่องนี้มันเหมาะสมกับตำแหน่งนี้มากๆ พอบนเวทีเลิกลักและผลออกมาว่าประกาศผิดไป ทางนี้ก็เลิกลักไม่ต่างกัน55555 ทั้งตกใจ ทั้งเคว้งใจ แต่ยังไงก็แล้วแต่ สำหรับเรา


La La Land คือหนึ่งในภาพยนต์ยอดเยี่ยมในใจ ที่ไม่ว่าจะให้แนะนำหนังอะไรซักเรื่องกับคนอื่น เรื่องนี้จะติดอยู่ในลิสต์นั้นเสมอ 


(ความรู้สึกผิดหวังตรงนั้นทำให้ไม่ยอมดู Moonlight เลย ใครเคยดูแล้วอยากขายเรื่องนี้ว่าเหมาะสมกับรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมยังไง สามารถขายของมาได้เต็มที่ ฮ่าา)



หนังเล่าถึงเรื่องราวของมีอา หญิงสาวที่มีฝันในการเป็นนักแสดงดาวรุ่ง และ เซบาสเตียน ชายหนุ่มผู้ต้องการเปิดบาร์ของตนและคืนชีพให้ดนตรีแจ๊ส ทั้งคู่เป็นผู้ใช้ชีวิตอยู่ในลอสแองเจิลลิสเมืองแห่งความฝันที่เต็มไปด้วยมนต์สะกด เพื่อเดินตามความฝันของตัวเอง วันนึงที่ทั้งคู่ได้พบเจอกัน ได้รักกัน คนทั้งสองต่างก็ต้องแบกรับความรักและความฝันของกันและกันไว้บนบ่า จนถึงจุดที่ทั้งสองสิ่งนั้นมันหนักอึ้งเกินกว่าที่พวกเขาจะถือมันเอาไว้  



เราชอบความเซอร์เรียลในความเรียลของหนัง ในสื่ออื่นๆ ที่เคยดูเขามีแต่ความรักและความฝันที่ขับเคลื่อนกันและกัน ทั้งสองฝ่ายต่างผลักดันและอุ้มชูอีกคนขึ้นไปในจุดที่สูงขึ้น แต่ในหนังเรื่องนี้กลับทำให้เราต้องเลือก

 

  “เพราะบางครั้ง ความฝันกับความรักก็ไปด้วยกันไม่ได้
ในวันที่ต่างคนต่างก็มีความฝัน มีชีวิตและเส้นทางที่ต้องเลือกเดิน การพาอีกคนไปด้วยกันจนถึงตลอดรอดฝั่งมันอาจจะไม่ได้ง่ายเสมอไป เพราะงั้นสิ่งที่ยากที่สุดคือการตัดสินใจ ว่าเราควรจะตัดสิ่งไหนทิ้งไปดี ซีน “I will always love you” มันเป็นอะไรที่ชัดเจนและสวยงามที่สุดในความสัมพันธ์นี้แล้ว



เราชอบซีน what if ของหนังมากๆ มันจะเป็นไปได้มั้ยที่คนทั้งสองคนจะก้าวเดินตามทางของความฝันและความรักไปพร้อมๆ กัน จะเป็นไปได้มั้ยถ้าหากเลือกอีกทางหนึ่งแล้วมันจะลงเอยด้วยความสุขแบบนั้น เป็นซีน what if ที่ทั้งมีอาและเซ็บไม่มีทางล่วงรู้มันได้เลย รวมถึงคนดูก็เช่นกัน พวกเราไม่มีทางรู้อะไรทั้งนั้นนอกจากความจริงที่ได้ปรากฏขึ้นแล้ว และไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขอะไรได้อีก 



ในชีวิตคนเรานั้นก็ไม่ต่างกัน มันอาจจะมีบางครั้งที่เราเฝ้าสงสัยว่ามันอาจจะดีกว่ามั้ยหากเราเลือกเดินอีกทาง ซึ่งมันเป็นคำถามที่แม้แต่เจ้าตัวเองก็ไม่สามารถตอบได้ สิ่งที่เราทำได้คือการจินตนาการถึงมัน ถึงทางเดินและความเป็นไปได้ที่ดีที่สุดเท่าที่มันจะเกิดขึ้น และนั่นจะไม่ใช่ทางที่คุณเลือกเดินในปัจจุบัน 



พวกเซอร์เรียลซีน ร้องเพลง เต้นรำนี่มันขับเคลื่อนหนังไปได้ดีมากๆ เหมือนกับว่าพาร์ทแรกๆ หนังพยายามสร้างตัวเองให้เหมือนอยู่ในโลกของจินตนาการ เรื่องของคนที่มีใจมุ่งมั่นค้นหาฝัน พบรักกัน ใช้ชีวิตร่วมกันเดินตามฝันอย่างมีความสุข หนังมันพาเราไปในมุมมองนั้นจริงๆ ซึ่งพาร์ทแรกของหนังมันดีมาก เต็มอิ่มไปด้วยรอยยิ้มและความสุข รับรู้ถึงไฟแห่งความมุ่งมั่นอันแรงกล้าที่จะทำตามฝันให้สำเร็จ อิ่มฟูไปด้วยความรักของคนทั้งสองคน มันเต็มไปด้วยพลังบวกสุดๆ เดอะเบสคงต้องยกให้ซีนที่หอดูดาว ซีนนั้นคือดีซะจนอยากจะร้องไห้ โมเม้นดูในโรง IMax คือมันเต็มตา มันล่องลอยสูงขึ้นไป ทั้งดนตรี พื้นหลัง การเคลื่อนไหวของนักแสดงทั้งคู่ เหมือนได้อยู่ในโลกของความฝันที่มีแค่ความรักของคนสองคนตลบอบอวลไปทั่ว งาน OST ของเรื่องนี้มันดีทุกเพลงจริงๆ 



(สามารถรับฟัง OST แปลไทยของเรื่องได้ที่นี่ https://youtube.com/playlist?list=PLaTJsQqLwPG-itCJJMXkX5SrUoHxnh-iP )




แต่พอเริ่มเข้าท่อนกลาง อารมณ์ในหนังที่มันกำลังล่องลอยและเริงร่าเริ่มดรอปลง โทนภาพเริ่มเข้มข้นและจริงจังขึ้น หนังเริ่มพาคนดูดึงกลับเข้าสู่ความเป็นจริงทีละน้อย ภาพฝันแสนหวานนั้นเริ่มหายไปเหลือเพียงความจริงที่ขมขื่น เรื่องราวในการเดินทางมันไม่ได้ง่ายดายและสวยงามแบบที่ฝันไว้ ซึ่งมันแนบเนียนและไต่ระดับอารมณ์ได้อย่างสวยงามจริงๆ รู้ตัวอีกทีทุกอย่างมันก็ดูจะไม่ได้ไปซะหมด ไม่รู้ว่ามันเริ่มจากอะไร ไม่รู้ว่าทำผิดที่ตรงไหน 



และพาร์ทสุดท้ายก็ตอกหน้าเรากลับด้วยความจริงที่มันจริง เจ็บแต่จริง ความฝันสวยงามทั้งหมดมันอาจจะไม่ได้เป็นแบบนั้นเสมอไป สุดท้ายแล้วเราก็ต้องเผชิญความจริงจากทางที่ได้เลือก และซีนสุดท้ายก่อนตัดจบนั้นเรามองว่ามันคือการเติบโตและยอมรับความจริงของตัวละครได้อย่างงดงามและสมบูรณ์แบบมากๆ  



องค์ประกอบทุกๆ อย่างในหนังมันเต็มไปด้วยความตั้งใจในทุกๆ องค์ประกอบ ไม่ว่าจะเป็นซีนไหนแต่พอกวาดตามองไปเรารู้สึกถึงความสวยงามในทุกๆ ซีน มีพลัง มีมนต์ขลังบางอย่างที่จะตรึงคนดูไว้กับหน้าจอไม่ไปไหน ดูไปแล้วก็มีความสุขไป ทั้งองค์ประกอบฉาก สีสัน บทเพลง มันเหมือนได้ดูภาพวาดหรืองานศิลป์ซักชิ้นในจอภาพยนต์ที่เคลื่อนไหวได้ 



ตอนดูในโรงไม่ได้มีการแปลเพลงให้ พอได้มาดูใน NETFLIX ที่มีการแปลเพลงแบบสวยๆ ตามเนื้อเรื่องที่ดู มันยิ่งทำให้รู้สึกว่านี่เป็นหนังที่ดำเนินเรื่องดีมากๆ หนังใช้เพลงเป็นส่วนนึงของการเล่าเรื่อง ยิ่งทำให้รู้สึกเหมือนเราอยู่ในโลกความฝัน โลกของละครเวที โลกที่มันไม่ใช่ความจริงมากขึ้นไปอีก มันสวยงามและผ่านการเรียบเรียงมาอย่างดี จนทำให้ไม่ว่าจะได้ดูอีกกี่ครั้งก็ยังประทับใจทั้งในซีนแห่งจินตนาการและซีนแห่งความเป็นจริงนี้ได้เสมอไป


9/10

I Know You Have Good Taste :)



Click ME


👇


ดูจบแล้วมาคุยกัน


ซีน I will always love you มันเป็นซีนที่สวยงามและขมขื่นมากๆ เป็นซีนที่ชอบเป็นอันดับต้นๆ ของเรื่อง เหมือนกับว่าทั้งเซ็บและมีอาต่างเข้าใจ และเคารพในการตัดสินใจของอีกฝ่าย ตัวละครเติบโตและยอมรับความจริงว่าการเดินตามความฝันที่ตนมีนั้นไม่สามารถพาอีกคนไปเคียงข้างได้ ทั้งคู่เลือกที่จะเดินตามความฝัน และทิ้งคำสำคัญอย่างฉันจะรักคุณตลอดไปเอาไว้เป็นเครื่องเตือนใจ ว่าต่อให้ความสัมพันธ์นี้จะไปไม่ได้ แต่ความรู้สึกดีๆ ที่มีให้กันมันจะยังคงอยู่และไม่ไปไหน ซึ่งมันก็มาโยงถึงพาร์ทตอนจบของหนัง เราคิดว่าทั้งมีอาและเซ็บต่างก็ยังรักกันอยู่เหมือนเดิมตามที่บอกไป แต่ทางเลือกที่ทั้งคู่ได้เลือกมันนำพามาสู่บทสรุปแบบนี้ มันเป็นสิ่งที่แก้ไขไม่ได้ และไม่เหมือนกับ What If Scene ในจินตนาการของพวกเขา 


สายตาและรอยยิ้มสุดท้ายของไรอัน กลอสซิงมันดีซะยิ่งกว่าดี มันเป็นสีหน้าของคนที่มีความสุขที่เห็นอีกฝั่งเดินตามฝันของตนได้สำเร็จ การที่ทั้งคู่เลือกที่จะตัดความสัมพันธ์นี้ทิ้งมันยากมากๆ แต่มันก็คุ้มค่าเพราะถึงจุดนี้ทั้งคู่เดินตามฝันของตัวเองสำเร็จกันจริงๆ โดยแลกกับการไม่มีคนข้างๆ เราว่าการที่ทำให้ทั้งคู่ได้มาเห็นความสำเร็จของอีกฝ่ายอย่างน้อยมันก็ทำให้พวกเขาสบายใจและพร้อมจะเดินหน้าต่อไปได้อีกเปราะนึง มันเป็นช่วงเวลาที่เจ็บแต่จบจริงๆ ไม่เหลืออะไรติดค้างหรือผูกมัดกันไว้อีกแล้ว


นอกจากไรอันกลอสซิงที่มีซีนเด็ดประจำตัว เราชอบซีนออดิชันของเอ็มมา สโตนมากๆ ตอนที่ร้องเพลง The fools who dreams เอ็มมาคนเดียวเอาอยู่ตลอดเกือบห้านาที ทั้งสายตา ทั้งน้ำเสียง ซีนนั้นมันไม่มีอะไรเลยนอกจากหน้าของเธอยืนร้องเพลงตามลำพัง แต่พลังและความมุ่งมั่นอันแรงกล้ามันส่งออกมาหาคนดูได้จริงๆ ซีนนี้เป็นซีนที่ทำให้เราเข้าใจถึงการตัดสินใจเลือกเดินของตัวละครนี้ เรามองเห็นความตั้งใจและความมุ่งมั่นของตัวละครมีอาที่มีต่อการเป็นนักแสดง จนโกรธเธอไม่ลงที่ตัดสินใจตัดขาดความสัมพันธ์


อีกซีนที่ชอบคือซีนร้องเพลง City of stars บทท่าเรือ เป็นซีนทีเรียบง่ายแต่ทรงพลังที่สุด


ความคิดเห็น