รีวิว Jojo Rabbit : หนังสงครามที่ไม่มีซีนเข่นฆ่าหรือทำร้าย แต่กลับเจ็บปวดและรุนแรงต่อหัวใจซะเหลือเกิน

Jojo rabbit ต่ายน้อยโจโจ้


เพราะเด็กสิบขวบไม่ควรต้องเฉลิมฉลองให้สงคราม

 ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายแพ้หรือชนะก็ตาม


โจโจ้แรบบิทเป็นอีกหนึ่งหนังที่เราอยากดูมากๆ ตั้งแต่เห็นติดโผออสการ์ ตอนแรกคิดว่าจะไม่ถูกเอาเข้าไทยซะแล้ว ตอนที่เห็นอยู่บนโปสเตอร์ในโรงหนังคือดีใจมาก และมันสมการรอคอยจริงๆ สมคำร่ำรือและเหมาะกับตำแหน่งรางวัลบทภาพยนตร์ดัดแปลงยอดเยี่ยมเอามาหๆ นี่แหละโจโจ้แรบบิทที่ฉันต้องการ!!


หนังเล่าถึงเด็กชายโจโจ้ หนุ่มน้อยผู้โตมากับการถูกปลูกฝังในความดีงามของระบบนาซี ความคลั่งไคล้และเคารพรักฮิตเลอร์ถึงขั้นมีเขาเป็นเพื่อนในจินตนาการ เด็กคนนึงที่เติบโตมากับระบอบแบบนี้ วันหนึ่งเขากลับจับได้ว่าแม่ของเขาซ่อนตัวเด็กสาวชาวยิวไว้ในบ้าน สิ่งนี้เป็นเรื่องราวที่ท้าทายต่อจิตใจ และขัดแย้งกับจิตใต้สำนึกที่ถูกปลูกฝังมาโดยตลอดของเขามากๆ เส้นทางที่เขาเลือกเดินอาจเปลี่ยนชีวิตของเขาไปได้ตลอดกาล หากเป็นคุณจะเลือกทางไหน?


นี่เป็นหนังสงครามที่มีเนื้อหาหนักและรุนแรงไม่ต่างจากเรื่องอื่นๆ บางมุมเรากลับรู้สึกว่ามันหนักหนาและรุนแรงกว่าเรื่องอื่นๆ ด้วยซ้ำ ทั้งที่ก็ไม่ได้มีภาพคนตาย ไม่ได้มีการสูญเสีย ไม่ได้มีการทำลายล้างผลาญหรือยิงปืนใหญ่อะไรก็ตาม แต่ความรุนแรงและขมขื่นในใจมันเกิดจากการที่หนังพาเราไปสำรวจเรื่องราวของเด็กชายผู้ไร้เดียงสาคนนึงที่มองระบอบอันโหดร้ายอย่างระบอบนาซีเป็นสิ่งที่ถูกต้องและน่าเคารพนับถือ


เด็กคนหนึ่งผู้ใสซื่อและบริสุทธ์กลับมองการฆ่าฟันเพื่อนมนุษย์เป็นสิ่งที่ควรทำและน่าชมเชย

 

มันเจ็บปวดมากๆ ที่บนโลกใบนี้ ระบอบแบบนี้มันมีอยู่จริง และสร้างเด็กที่มีแนวคิดแบบนี้ขึ้นมาได้จริงๆ 


เราไม่เคยดูหนังเรื่องไหนที่ทำให้เราอินไซท์ไปกับระบบความคิดของเด็กที่มีต่อนาซีแบบนี้ หนังเปิดเรื่องมาด้วยการ normalize เราต่อระบอบนาซี ทุกอย่างในเรื่องมันดูปกติมาก เด็กชอบฮิตเลอร์เหรอ? ฝึกเด็กสิบขวบใช้ปืน ใช้ระเบิดเพื่อสงครามเหรอ? สอนเด็กให้ฆ่าชาวยิวเหรอ? ทุกอย่างมันก็ดูปกติดีนี่หน่า แม้ว่าใจในจะตะขิดตะขวงมากแค่ไหนว่าสิ่งนี้มันไม่ปกติ! แต่ก็ต้องยอมรับว่าเด็กที่เติบโตมา ถูกปลูกฝังมาในระบอบแบบนี้ เขาไม่ได้รู้สึกว่าสิ่งที่เขาเชื่อ สิ่งที่เขาทำ หรือสิ่งที่เขาสนับสนุนมันเลวร้ายแค่ไหนจริงๆ


หนังทำให้ความเป็นนาซีมันดูไม่มีอะไร ทุกอย่างก็แฮปปี้ ก็มีความสุขดี โดยการทำมู้ดหนังช่วงแรกให้เต็มไปด้วยความตลกโบ๊ะบ๊ะ มีเพื่อนในจินตนาการเป็นฮิตเลอร์ที่มีความสุขและสอนให้โจโจ้เป็นคนเข้มแข็งและกล้าหาญ ซึ่งมันน่าเจ็บปวดมากที่สุดท้ายมันมีบางซีนที่เราเองก็ยังแอบขำและสนุกสนานกับเรื่องราวนาซีเหล่านี้ ทั้งที่จริงๆ พอมามองในโลกแห่งความเป็นจริงมันไม่ได้ตลกเลยแม้แต่น้อย ซึ่งพอหนังดำเนินเรื่องต่อไปเรื่อยๆ เริ่มมีเรื่องของเด็กสาวชาวยิวเข้ามาเกี่ยวข้อง เริ่มมีการตั้งคำถามกับตัวเองของโจโจ้ว่าชาวยิวผิดอะไร?” หนังเริ่มมีความพลิกมู้ดและอารมณ์ของตัวเองให้เข้มข้นขึ้น จนถึงจุดที่


แม้ว่าหนังจะใส่ความตลกเข้ามาอีกแค่ไหน มันกลายเป็นตลกร้ายที่เราเริ่มขำไม่ออก

 

มันเริ่มกดดัน รุนแรง และอึดอัด ดึงมู้ดคนดูได้อย่างสมบูรณ์แบบไปจนจบ


เราชอบความกลมกล่อมของเนื้อเรื่องและการถ่ายทอดมันออกมาของตัวหนัง หนังเรื่องนึงสามารถสร้างมู้ดให้เราได้หลากหลายมากๆ แถมแต่ละมู้ดที่หนังสื่อออกมาทำเราทั้งอินแล้วก็จมดิ่งไปกับมันได้อย่างสมบูรณ์แบบ มันดีและเล่นกับความรู้สึกคนดูได้อย่างยอดเยี่ยม พาเราไปสำรวจอารมณ์ ความรู้สึก และระบอบความคิดของโจโจ้ที่ค่อยๆ เปลี่ยนไปได้อย่างเป็นธรรมชาติและมีพัฒนาการ โดยเฉพาะช่วง 20 นาทีสุดท้ายของหนังมันกระแทกใจเรามาก เราชอบความไร้เดียงสาที่ไม่ไร้เดียงสาของโจโจ้ เรามองเห็นการเติบโต การพัฒนาทางอารมณ์และความคิดของตัวละครนี้ได้อย่างชัดเจน


ถ้าให้เทียบกับสังคมที่เราใช้ชีวิตอยู่ มันก็คงมีบ้างที่เราเลือกที่จะเชื่อมั่นและนับถือระบอบหรือบุคคลบางอย่าง ที่เรามองว่ามันดีและถูกจนมองข้ามความโหดร้ายหรือความล้มเหลวทางความคิดบางอย่างของสิ่งนั้นไป (แต่ถ้าเทียบกับในเรื่อง โจโจ้ไม่ได้มีสิทธิที่จะตัดสินใจเลือกข้างเลยด้วยซ้ำ เขาเติบโตและถูกปลูกฝังมาในสถานที่ ในประเทศที่ทุกคนตัดสินใจเลือกทางเดินแบบเดียวกันไปเสียหมด มันจึงเป็นเรื่องยากที่จะเปลี่ยนแปลงความคิด) จนวันหนึ่งอาจจะมีเหตุการณ์หรือการกระทำบางอย่างที่เป็นเหมือนการที่โจโจ้ได้ทำความรู้จักกับเด็กสาวชาวยิวในบ้านเขา ได้พูดคุยและรับรู้ว่าเธอไม่ได้เป็นปีศาจร้ายที่น่ารังเกียจเหมือนที่ระบอบพยายามจะบอกเขาตลอดเวลา และวันนั้นมันจะทำให้เราได้ตระหนักรู้และมองโลกแห่งความเป็นจริงว่าสิ่งที่ตนเชื่อและเคารพรักมาตลอดชีวิตมันเป็นสิ่งที่ถูกหรือไม่ มันคงต้องการอะไรซักอย่างที่มาเปิดตาให้เรามองเห็นโลกได้กว้างไกลและชัดเจนกว่าตอนที่ถูกกดอยู่ใต้ระบอบ



9/10

I Know You Have Good Taste :)



Click ME


👇



ดูจบแล้วมาคุยกัน


สิ่งที่ชอบมากที่สุดในเรื่องคือการสร้างตัวละครโจโจ้เป็นเด็กที่คลั่งไคล้นาซี แต่กลับมีคุณแม่เป็นนักปฏิวัติ ในมุมนึงเราว่ามันก็เป็นประเด็นของคนใกล้ชิดกันที่มีมุมมองทางการเมืองที่แตกต่างกัน ซีนที่ชอบที่สุดคือซีนบนโต๊ะอาหารระหว่างคุณแม่และโจโจ้ แม้ว่าประเด็นสนทนามันจะเครียดและกดดันแค่ไหนกับการที่ต้องมานั่งเถียงกับลูกสิบขวบเรื่องการเมืองในตอนนั้น แต่บทของคุณแม่เองก็ทำให้ทุกอย่างมันซอฟ มันน่ารัก มันอบอุ่นขึ้นมาได้ มันทำให้เราเห็นว่าถึงแม้คนสองคนจะมีความคิดที่แตกต่างกันแค่ไหน แต่เราสามารถอยู่ด้วยกันได้ด้วยความเข้าใจและเคารพการตัดสินใจของอีกฝ่าย อย่างเช่นการที่คุณแม่พาเด็กหญิงชาวยิวเข้ามาในบ้าน และอธิบายให้โจโจ้ฟังว่าทำไมต้องทำแบบนี้ หรือการที่โจโจ้อยากไปค่ายฝึกทหารนาซีสำหรับเด็ก แม้ทั้งคู่อาจจะไม่พอใจในการตัดสินใจของอีกฝ่ายไปบ้าง แต่สุดท้ายมันก็ยังคงต้องเคารพการตัดสินใจของกันและกันหากจะใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันต่อไปได้ 


โควทที่ตราตรึงในใจคือโควทที่คุณแม่พูดกับโจโจ้ว่า


ลูกโตเร็วเกินไป เด็กสิบขวบไม่ควรเฉลิมฉลองสงคราม หรือพูดเรื่องการเมือง


คือมันจริงและเจ็บปวดมากๆ ภาพโจโจ้ตอนนั้นคือคำพูดคำจาหรือการกระทำของเขาดูโตเกินกว่าวัยมากๆ ซึ่งเด็กคนนึงมันไม่ควรต้องมาโตเร็วแบบนี้ในแง่ของสงครามหรือการเมือง ที่ถูกสังคมทำให้มันเป็นเรื่องปกติในชีวิตของเด็กผู้ไร้เดียงสาซักคน ซึ่งจุดนี้มันถูกเอามาขยี้อีกทีคือช่วงสงครามตอนจบ ที่น้องโจโจ้ยืนท่ามกลางความโหดร้ายของโลกแห่งสงคราม เราว่า จุดนั้นน้องก็คงคิดแหละว่านี่มันอิหยังวะ ทำไมมันถึงรุนแรง แหลกสลาย และไม่เหลืออะไรเลยแบบนั้น เราว่าในยุคนั้นเองระบอบพวกนี้มันก็คงจะ romanticized เด็กๆ ใต้ปกครองว่าการต่อสู้เพื่อชาติเนี่ยดีนะ เท่นะ ลูกผู้ชายนะ


แต่ไม่มีใครเคยรู้ว่าความเป็นจริงสงครามมันเลวร้ายและต้องพบกับการสูญเสียมากขนาดไหน


ด้วยความที่เราชอบบทของสการ์เล็ตในเรื่องมาก ซีนถูกแขวนคอเลยแอบช็อค เคยโดนสปอยด้วยรูปจากซีนนี้มาแล้วแต่ก็ยังช็อคอยู่ ซีนอารมณ์ของน้องที่หันไปเจอเท้าแม่ พยายามจะผู้เชือกรองเท้าให้แม่ เข้าไปกอดแม่แล้วร้องไห้ มันกระแทกใจมากจริงๆ ไม่น่าล่ะก่อนหน้านี้หนังถ่ายรองเท้าคุณแม่ให้ดูบ่อยๆ แถมยังเน้นแล้วเน้นอีกเรื่องการผูกเชือกรองเท้า เอามาขยี้แบบนี้ทางเราไปไม่ถูกเลย น้องโจโจ้เล่นซีนนี้ออกมาได้ดีมากๆ


ซึ่งการที่โจโจ้ผู้พยายามผูกเชือกรองเท้าให้แม่ยังไม่สำเร็จ แต่พอผูกให้เด็กหญิงชาวยิวในตอนจบกลับผูกได้ซะงั้น เราเลยแอบคิดในแง่ร้ายมากๆ ว่าตรงนี้เป็นจินตนาการของโจโจ้เองรึเปล่า เขาอาจจะโดนลูกหลง โดนระเบิดตายตั้งแต่ซีนสงครามแล้ว การได้ออกมาใช้ชีวิตกับเด็กหญิงชาวยิวมันเป็นสิ่งที่เขาอยากทำให้สำเร็จ ซึ่งเราที่มองแบบนี้ดูจบแล้วหัวใจเหลวแหลกไม่เป็นท่า เด็กคนนึงที่คลั่งไคล้ในระบอบกลับเหมือนถูกตัวระบอบที่เขารักทำลายทุกอย่างจนไม่เหลืออะไรเลย มันน่าเศร้า


แต่ไม่ว่าน้องจะตายจริงมั้ย ซีนไปตายซะฮิตเลอร์ ก็ยังคงตราตรึงใจไอเลิ้ปมาก5555555

ความคิดเห็น