รีวิว Squid Game : เกมลุ้นตายจากเกาหลีที่มีดีด้านความเป็นมนุษย์

Squid Game เล่นลุ้นตาย



เพราะชีวิตจริงนั้นโหดร้าย 
ไม่ได้ต่างจากรอลุ้นตายในเกมแม้แต่น้อย


    นานๆ จะได้ดูหนังระทึกตื่นเต้นจากเกาหลี ในฐานะที่เราเป็นแฟนหนังเล่นเกมเอาชีวิตรอดอยู่แล้ว จึงค่อนข้างคาดหวังกับเรื่องนี้มาก เปิดมาช่วงแรกๆ เราชอบมันมาก คาดหวังกับความตื่นเต้นและความเซอร์ไพรส์ในตอนจบ แต่กลับกลายเป็นว่าซีรีย์พาเราไปไม่ถึงจุดที่คาดไว้ ทิ้งเราไว้ให้เหม่ออยู่กลางทางซะอย่างนั้น

    เรื่องราวเล่าถึงคุณลุงชีวิตตกอับ บ้านยากจน แม่ป่วย ภรรยาและลูกมีครอบครัวใหม่ ตัวเองก็เป็นหนี้สินมากมายแต่ก็ยังขโมยเงินแม่ไปแทงม้า หนักเข้าถึงขั้นถูกบังคับให้เซ็นต์บริจาคร่างกายถ้าไม่มีเงินมาใช้หนี้ ในจุดที่ตกต่ำที่สุดในชีวิต อยู่ๆ ก็มีคนมาเสนอให้คุณลุงไปเล่น ‘เกม’ เพื่อแลกกับเงินจำนวนมากเกินกว่าที่เขาคาดคิด

    ฟังดูแล้วก็เหมือนเหมือนหนังแนวเล่นเกมสยองทั่วๆ ไป ที่ทำมาเพื่อสนองความโลภ หรือไม่ก็กลุ่มคนรวยโรคจิตชอบดูคนฆ่ากัน แล้วพระเอกที่เป็นคนดีก็จะใช้ความดีเอาชนะเกมได้ อะไรทำนองนั้นเลย หนังเลือกเอาเกมเด็กเล่นมาเป็นเกมในเรื่องที่คนแพ้จะถูกฆ่าตาย ซึ่งเปิดมาเกมแรกเราว้าวกับความครีเอทีฟนี้มากๆ ที่สามารถเอาเกมเด็กๆ มาใส่กติกาความโหด ความสนุกเข้าไปได้ แต่คงต้องบอกว่าเกมที่สนุกในเรื่องคือเกมแรกเกมเดียวเท่านั้นจริงๆ หนังดึงเราเอาไว้ด้วยเกมแรกที่รู้สึกว่าเห้ยยยย มันเจ๋งมากๆ แต่พอเกมหลังจากนั้นมันกลายเป็นเกมวัดดวงที่รู้สึกว่ามันจืดและจางมากๆ แทบไม่มีอะไรในแง่ของเกมเลยด้วยซ้ำ สำหรับเรา ธีมที่หยิบมานั้นดี แต่ความสร้างสรรค์หรือความสนุกในการลุ้นเอาชีวิตรอดมันไม่มากพอ

    ไม่แปลกใจว่าทำไมถึงถูกเอาไปเปรียบเทียบกับ Alice in Borderland เพราะทางฝั่งนั้นต้องยอมรับว่าเกมของเขามีความสนุก ตื่นเต้น แต่ก็มีกึ๋น ไม่ได้พึ่งดวงหรือกำลังเพียงอย่างเดียว มันผูกเราให้อินไปกับเกมได้มากกว่า Squid Game มากๆ แต่ทางฝั่ง alice เขามาเล่นเกมด้วยความไม่ตั้งใจ เราว่าถ้าหากจะเทียบน่าจะต้องเทียบกับอารมณ์ประมาณ Liar Game มากกว่า ซึ่งเป็นเกมของคนธรรมดาๆ ที่ผู้เล่นตัดสินใจเข้าร่วมเล่นเกมเพราะต้องการเงิน แต่สุดท้ายเกมของทางฝั่ง Liar Game ก็ยังคงสนุก ซับซ้อน และน่าลุ้นกว่าอยู่ดี แต่สิ่งที่ซีรีย์เหล่านี้ไม่มี แต่ Squid Game มี และยังคงความเข้มแข็งของตัวเองไว้ไดคือพาร์ทดราม่าของเรื่อง

    กลายเป็นว่าพาร์ทที่เราชอบคือพาร์ทดราม่าของเรื่อง ประเด็นดราม่าหลายๆ จุดในหนังเราว่ามันทัชดี มันสมจริงแล้วก็ทำให้คนดูเข้าถึงตัวละครได้ง่าย ความโลภ ความต้องการ ความเดือดร้อนของแต่ละคนมีไม่เหมือนกัน ดังนั้นเป้าหมายในการทำให้ได้มาของแต่ละคนก็แตกต่างกันไป ตัวละครในเรื่องมีมาเพื่อเติมสีสันให้บท รู้สึกว่าหลากหลายแล้วก็น่าสนใจกันทุกตัว แต่ละตัวละครก็มีคาแรกเตอร์ มีลักษณะ ความเชื่อในการดำรงชีวิตแตกต่างกัน ซึ่งทำให้หนังมีความหลากหลาย ความกว้างของคนและการมองโลกแต่ละแบบ พาร์ทดราม่าช่วงเกมลูกแก้วที่เอาเรื่องราวตัวละครแต่ละตัวมาขยี้กันเองคือดีมากๆ เป็นตอนที่อินไปกับเรื่องราวมากที่สุด ต้องยอมรับว่านักแสดงเล่นกันดีทุกคน

    ถึงแม้บางคนบอกว่าตัวเอกโง่ กระจอก แล้วก็ดูขี้แพ้มากๆ แต่สำหรับเรากลับรู้สึกเฉยๆ เราคิดว่าหนังมันปูมาตั้งแต่เริ่มอยู่แล้วว่าตัวเอกเขาเป็นคนแบบนี้ ไม่ได้คิดอะไรเยอะขนาดนั้น ไม่ได้แก้ปัญหาเก่ง ไม่มีเงินก็แค่ขโมยแม่มาแทงม้าเดี๋ยวก็มีใช้ ไม่มีเงินก็แค่ไปกู้มาเดี๋ยวก็มีคืน เขาเป็นคนไม่คิดหน้าคิดหลัง ไม่มีเป้าหมาย ไม่มีอะไรแบบนี้อยู่แล้วด้วยคาแรกเตอร์ที่วางไว้ เลยไม่ได้รู้สึกหงุดหงิดขนาดนั้น (แต่ก็มีบ้างบางซีนที่ทำให้รู้สึกว่าอะไรของมัน!!55555555) 

    อีกสิ่งที่อดชมไม่ได้คือความครีเอทีฟหลายๆ อย่างในเรื่อง ทั้งเพลงบรรเลงที่ฟังแล้วชวนขนลุกระหว่างเกม โลเคชันการเล่นเกมที่ทั้งดูลึกลับ สดใส แต่ก็น่ากลัว โลเคชันคือดีมากจริงๆ ชอบโถงบรรไดสีพาสเทล เวลาผู้คุมหรือคผู้เล่นเกมเดินต่อกันเป็นแถว มุมกล้องมันออกมาดูดีมากๆ รวมถึงโลเคชันที่ใช้เล่นเกมต่างๆ ก็ดูสวยแปลกตา แต่ก็อึดอัดดี ที่ชอบที่สุดคือระบบของผู้คุมเกม ที่ผู้คุมทุกคนห้ามเห็นหน้ากัน แบ่งชนชั้นวรรณะผู้คุมด้วยสัญลักษณ์ต่างๆ เราว่ามันครีเอทีฟและลึกลับน่าค้นหามากๆ งาน Production ดี

    ทุกอย่างมันดูดีไปหมดแต่มาตายที่บทที่มันไม่กระชับแน่นหนาพอที่จะดึงเราเข้าไปอยู่ร่วมกับหนังจนจบ ตอนที่ดูอีพีแรกเรากระหายอยากรู้มากๆ ว่าตอนจบจะเป็นยังไง (เรียกได้ว่านี่เป็นหนังเล่นเกมโหดไม่กี่เรื่องที่จะมีตำรวจซักคนลักลอบเข้าไปใกล้เป้าหมายขนาดนี้) แต่พอมาถึงตอนจบที่มันควรจะพีคเป็นกราฟสูง สำหรับเราคือนิ่งมากๆ จบไปแบบเงียบๆ ไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นกับบทสรุปของมัน เราคิดว่าถ้าจะมาเวย์นี้คือมันต้องปูเรื่องมากกว่านี้อีก มีที่มาที่ไปหรือมีเรื่องราวบางอย่างที่ทำให้เราขนลุกตอนเฉลยได้มากกว่านั้น พอมันนิ่งแบบนี้เลยกลายเป็นไม่มีอะไรน่าจดจำไปเลย 

    ถือเป็นหนังระทึกตื่นเต้นที่ดูสนุก ดูง่ายย่อยไว ทำให้อยากรูเว่าเรื่องราวจะเป็นยังไง ใครจะรอดออกไปได้ แล้วด้วยตัวซีรีย์มันสั้นด้วย ดูจนจบง่ายและเอนจอยไปกับมันได้ไม่ยากเลย 


7/10

I Know You Have Good Taste :)



Click ME


👇



ดูจบแล้วมาคุยกัน

    เราไม่ตื่นเต้นเลยจริงๆ ว่าคุณลุงอยู่เบื้องหลังองค์กร คือไม่ใช่ว่าเดาถูกว่าเป็นคุณลุง แต่มันแค่ดูแปลกๆ ไม่สมเหตุสมผล ไม่มีอะไรมาซัพพอร์ตหรือชูประเด็นตรงนี้ขึ้นมาเลยแม้แต่น้อย แต่ว่า แม้แต่คำคม (ที่ควรจะคม) ช่วงวาระสุดท้ายของพระเอกกับคุณลุงมันยังไม่จี้ใจเลยด้วยซ้ำ

    เราชอบการที่เกมอนุญาตให้ผู้เล่นสามารถยุติเกมได้ทุกเวลา มันเล่นกับความโลภคนได้สนุกดี รวมถึงกฏเหล็กของเกมที่ว่า 

‘ทุกคนต้องเท่าเทียมกัน’ 

ซีนที่ฟรอนต์แมนน์จับได้ว่าลูกน้องขโมยอวัยวะศพไปขายแล้วพูดประมาณว่า เค้าไม่สนใจว่าใครจะลักเล็กขโมยน้อยยังไง แต่การบอกเกมให้กับผู้เล่นล่วงหน้ามันทำให้ทุกคนไม่เท่าเทียม นั่นคือสิ่งที่ยอมไม่ได้ มันดีมากๆ 

    ชอบเรื่องของอาลีกับลุงเถ้าแก่มาก ปูมาซะดิบดีว่ารักกันดี แต่เอาเข้าจริงชอบคาแรกเตอร์ของลุงเถ้าแก่มากๆ มันดูสมจริงมนุษย์ดี ถ้ามันอยู่ในจุดที่เราพอจะช่วยใครได้ แม้จะไม่มี แต่ถ้าหากพอจะช่วยได้ซักนิด มันก็อาจจะมีไม่มีคนหรอกที่ให้เงินอาลีเป็นค่ารถกลับบ้านแบบนั้น แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเค้าเป็นคนดีถึงขนาดยอมแลกชีวิตตัวเองกับอาลี กลับกัน กับพระเอกที่เรามองว่าเค้าเป็นคนดีมาตลอด และจนถึงเกมสุดท้ายก็ยังรับบทคนดี เราไม่อยากเชื่อว่าเค้าหลอกเรื่องลูกแก้วกับคุณลุง เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้รู้สึกหงุดหงิดตอนพระเอกโกรธลุงเถ้าแก่ที่ผลักลุงคนนึงลงไปในเกมกระจก ไม่มีความเม้กเซ้นส์อยู่ในตัวละครนี้จริงๆ55555555

    สุดท้าย นางเอก+เพื่อนสาวที่พามาจอยทีมคือน่ารักมากๆ เส้นเรื่องสองคนนี้ก็ดี ยิ่งซีนคุยกันในเกมลูกแก้วคือมันอินจนแอบร้องไห้ เราชอบเรื่องที่คุยกันในแง่ของอนาคต ที่คนนึงมองไม่เห็นอะไร กับอีกคนที่มีสิ่งที่ต้องทำ ถ้าเป็นเราเราจะยอมแลกมันรึเปล่ายังไม่รู้ด้วยซ้ำ แต่ที่น่าหงุดหงิดอีกแล้วคือนางเอกมาตายเพราะ (หลักๆ) กระจกกระเด็นทิ่มท้อง คือมันยิ่งทำให้การตายของเพื่อนนางเอกมันดูอิมแพ็คน้อยลงไปทันที มีบทตายที่ดีกว่านี้มั้ยขอล้องงงง

ความคิดเห็น