รีวิว It's kind of a funny story : ความเรียบง่ายของความเศร้าและชีวิต เพราะมันโอเคที่คุณอาจจะเศร้าบ้างในบางวัน

 It’s kind of a funny story
เพราะมนุษย์ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะเศร้า




เป็นหนังที่ดีมากๆ อีกเรื่องนึงในชีวิตที่มีโอกาสได้หยิบมาดู เราชอบแมสเสจของหนังมากๆ ถึงแม้จะไม่ได้เล่าเรื่องที่ลึกซึ้งมาก เป็นเรื่องธรรมดาๆ อย่าง "ความเศร้า" ที่เกิดขึ้นได้ในชีวิตประจำวันของคนทั่วๆ ไป แต่เจ้า "ความเศร้า" ในรูปแบบที่หนังสื่อออกมากลับกระทบจิตใจคนดูได้ในหลายๆ ประเด็น และพอดูจบ หนังยังฝากเรื่องราวให้เรากลับไปคิดต่อ ว่าตกลงแล้ว "ความเศร้า" และ "ความสุข" ในชีวิตของคุณมันคืออะไรกันแน่



หนังเล่าถึงเด็กชายคนนึงที่กำลังจะกระโดดลงจากสะพานเพื่อฆ่าตัวตาย แต่โชคดีที่มีสติตั้งตัวได้ จึงรีบพาตัวเองไปโรงพยาบาลจิตเวชทันที เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในโรงพยาบาลทำให้เขาได้เจอเพื่อนใหม่มากมาย และได้มองเห็นคุณค่าของความสุข และชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง



พล็อตดูคลาสสิคและธรรมดามากๆ แต่ความเรียบง่าย ความธรรมดา และความรู้สึกของงตัวละครจากในเรื่องนี่ล่ะ ที่จะแทรกซึมเข้าไปอยู่ในใจคนดูได้ไม่ยากเลย



เราชอบการเล่าเรื่อง ถ่ายทอดความรู้สึกของตัวเอกออกมาได้ดีมากๆ จากตอนแรกที่ไม่ได้เล่าพื้นเพอะไร เปิดเรื่องมาก็เห็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งคิดอยากจะฆ่าตัวตาย หนังพัฒนาความรู้สึกของตัวละครขึ้นมาเรื่อยๆ จนถึงจุดที่เราเริ่มเข้าใจว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ เราสัมผัสได้ถึงความรู้สึกเศร้าในใจเขามากพอให้เกือบตัดสินใจจบชีวิตตัวเองลง เล่าเรื่องออกมาได้เก่ง ดูดี น่ารัก และสนุก ทำให้เรื่องราวธรรมดาๆ ที่ไม่ได้มีจุดพลิกผันอะไรมากมายของตัวเองกลับดูมีอะไรขึ้นมา มีประเด็นที่สามารถจะหยิบยกขึ้นมาพูดคุยกับใครซักคนได้ยาวๆ ในเรื่องของ "ชีวิต" ผ่านเรื่องราวของเด็กผู้ชายคนนี้



ตัวเอกน่ารักมากๆ ด้วยนิสัย คาแรกเตอร์ที่วางไว้ ไม่แปลกใจที่คนจะตกหลุมรัก ยิ่งเอามาจับคู่กับบัดดี้อย่างบ็อบบี้ เราว่ามันยิ่งเพิ่มนัยยะบางอย่างให้หนัง ชีวิตของบ็อบบี้กับเคร็กนั้นต่างกันโดยสิ้นเชิง แต่สุดท้ายมันกลายเป็นว่าคนทั้งสองกลับมอบบทเรียนอันล้ำค่าให้กันและกัน ความต่างตรงนี้มันทำให้อีกฝ่ายได้สะท้อนและเห็นถึงอะไรบางอย่างที่ตนนั้นพลาดไป 



คาแรกเตอร์ตัวละครอื่นๆ ในโรงพยาบาลก็น่ารัก ตั้งแต่คุณหมอ พยาบาล ยันผู้ป่วย มันหลากหลายและเต็มไปด้วยสีสัน เราชอบความที่หนังบอกเล่าเรื่องราวของความซึมเศร้าในตัวพระเอก บอกเล่าเรื่องราวในโรงพยาบาลที่มีแต่คนคิดฆ่าตัวตาย แต่มู้ดแอนด์โทนของหนังเองกลับดูแฮปปี้ ดูแล้วมีความสุขมากๆ ซึ่งมันก็ยังไม่ได้ทิ้งคีย์แมสเสจที่ตัวเองอยากจะสื่อไปผ่านความสดใสเหล่านี้ 



เราชอบงานภาพบางตอนที่ใช้การหยุดภาพไว้แล้วพากย์เสียงเอา เท่ดี 



เรียกได้ว่าร้อยเรียงออกมาได้ดีตั้งแต่ต้นจนจบ เต็มไปด้วยอารมณ์และความรู้สึกที่ครุกกรุ่นอยู่ในใจ รวมถึงบทเรียนที่แทรกเอาไว้ระหว่างการเดินทางสั้นๆ เพียง 5 วันนี้ของเคร็ก อยากให้ทุกคนที่กำลังเศร้าอยู่ได้ดู



8/10

I Know You Have Good Taste :)



Click ME


👇



ดูจบแล้วมาคุยกัน


เราชอบตอนที่ตัวเอกรีบไปโรงพยาบาลเพราะรู้ว่าตัวเองไม่ไหวแล้ว แต่กลับไม่สามารถหาคำตอบได้ว่าสิ่งที่อิมแพ็คมากๆ ที่ทำให้วันนั้นเค้าเกิดคิดอยากฆ่าตัวตายขึ้นมาคืออะไร มันจี๊ดตั้งแต่ต้นเรื่องตรงนี้เลย หนังทำให้เราตระหนักได้ว่าจริงๆ แล้วเราทุกคนมีสิทธิ์ที่จะทุกข์ มีสิทธิ์ที่จะเสียใจ ไม่ว่าเรื่องนั้นมันจะเล็กน้อยแค่ไหน อย่างการโดนพ่อคาดหวังให้สอบติด แอบชอบแฟนเพื่อน คือไม่แปลกที่เราจะเสียใจมากๆ กับเรื่องแค่นี้ เพราะสุดท้ายมันก็คือหนึ่งในอารมณ์ที่สามารถเกิดขึ้นได้ 



ตอนดูครั้งแรกคือเรางงมาก คิดว่าหนังจะมาแนววัยรุ่นที่คิดว่าตัวเองเป็นซึมเศร้าอะไรแบบนี้ด้วยซ้ำ แต่พอดูไปเริ่มเข้าใจแมสเสจ เริ่มรู้สึกได้ว่าจริงๆ แล้วเราไม่มีสิทธิ์ไปตัดสินความเศร้าของใครด้วยความรู้สึกเราทั้งนั้น



อีกพาร์ทที่ชอบคือเรื่องของบ็อบบี้ เราชอบที่เขามาบอกเกร็กว่าตัวเกร็กเองนั้นเจ๋งแค่ไหน และถ้าเขาเป็นเกร็กเขาคงอยากใช้ชีวิตนั้น บางทีคนเรามองไม่เห็นสิ่งที่ตัวเองมีอยู่จริงๆ เราว่านี่เป็นจุดนึงที่ทำให้เคร็กเริ่มเข้าใจว่าเรื่องราวความเครียด ความกดดันต่างๆ ที่เขามีมันเป็นแค่ส่วนนึงของชีวิต ตัวเขาเองยังมีเรื่องราวดีๆ อีกมากมายที่รอคอยอยู่ เพียงแค่เขากล้าที่จะใช้ชีวิตอย่างที่เขาเป็น

ความคิดเห็น