รีวิว Chungking Express : ความหวังแห่งการเฝ้ารอนั้นช่างแสนโหดร้ายและเดียวดาย

Chungking Express


ท่ามกลางเมืองที่เต็มไปด้วยแสงสีและผู้คน 

ไม่สามารถทำลายความเดียวดายในใจของผู้เฝ้ารอไปได้



หนังเรื่องแรกของหว่อง กา ไว ที่เราได้ดู และก็ทำให้เข้าใจว่าทำไมคนถึงยกให้เขาเป็นตำนาน เป็นเจ้าพ่อแห่งความเหงา และมีชื่อเรียกสไตล์การทำหนังเป็นของตัวเองอย่างการกระทำการหว่อง” 


Chungking Express เป็นหนังที่เหมือนมีหนังสั้นสองเรื่องที่ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกัน แต่ดำเนินเรื่องอยู่ สถานที่แห่งดียวกัน และพูดถึงความอ้างว้างในความสำพันธ์เหมือนกัน เรื่องแรกเล่าึงตำรวจหนุ่มที่ถูกแฟนบอกเลิกในวัน April Fool’s Day เข้าเฝ้าบอกตัวเองว่าเธอคงล้อเล่น และเธอจะกลับมาหาเขาในซักวันหนึ่ง ทุกวันที่ผ่านไปนั้นเต็มไปด้วยการเฝ้ารออย่างไร้ซึ่งจุดหมาย จนวันหนึ่งเขาได้ไปพบกับสาวผมทองปริศนาในบาร์ ทั้งคู่ใช้เวลาค่ำคืนหนึ่งด้วยกัน และมันจะเป็นความทรงจำที่เขาไม่มีวันลืม 


พา์ทหลังของหนังเล่าถึงตำรวจหนุ่มอีกคน ที่ชีวิตแต่ละวันเต็มไปด้วยความเศร้าหลังจากแฟนสาวแอร์โฮสเตสไปบินและไม่ได้กลับมาหาเขาอีกเลย เขาใช้ชีวิตไปวันๆ โดยได้แต่หวังว่าซักวันหนึ่งความรู้สึกนี้จะดีขึ้น และไม่ได้รู้ว่าอาเฟยพนักงานสาวของร้านอาหารที่เขามักโผล่เข้าไปนั้นค่อยๆ เข้ามาเปลี่ยนชีวิตอันโศกเศร้าของเขาทีละน้อย


ดูแว้บแรกสิงที่สัมผัสได้เลยคือพลังของบรรยากาศที่ดูเศร้า แม้ในบรรยากาศของฮ่องกงที่หนังเลือกหยิบมาฉายนั้นจะเต็มไปด้วยแสงสีเสี่ยงอันโอ่อ่า มีผู้คนมากมายเคลื่อนไหวขวักไขว่อยู่รอบกาย แต่ความรู้สึกของเรามันกลับหว่าเว้และโดดเดี่ยว ด้วยวิธีการถ่ายภาพที่มีเสนห์ พื้นหลังของซีนมักจะเป็นการเคลื่อนไหวที่พร่าเบลอของผู้คนและแสงสี มันทำให้เรารู้สึกว่าต่อให้จะมีคนมากมายอยู่ล้อมรอบขนาดไหน แต่มันไม่สำคัญเท่าความรู้สึกอันโดดเดี่ยวในใจที่ไม่สามารถกำจัดออกไปได้เสียที


อีกสิ่งที่เรานึกถึงคือความเป็นมาโคโตะ ชินไค

 

ถ้าชินไคเป็นผู้ที่สนิทกับความเหงาที่สุดคนหนึ่ง หว่องกาไวก็คงไม่ต่างกัน

ทั้งคู่เข้าใจถึงความรู้สึกเจ็บปวดในใจคน และเข้าใจถึงวิธีการถ่ายทอดมันออกมาในรูปแบบที่จะทำให้ผู้คนที่ไม่เคยแม้จะได้รับความเจ็บปวดนั้นเข้าใจถึงมัน ผ่านการเปรียบเทียบง่ายๆ ประโยคธรรมดาๆ หรือวิถีชีวิตประจำวันที่ดูจะปกติสุดๆ ที่พอมาคิดดูดีๆ ในแง่มุมของความเจ็บช้ำ มันกลับแสดงให้เห็นถึงความเหงาและโดดเดี่ยวในใจ ความเจ็บปวดที่บางครั้งเราไม่สามารถจะอธิบายมันออกมาได้ แต่หว่องกาไวทำได้ผ่านภาพยนตร์ของเขา


 การเปรียบเทียบเด็ดๆ หรือวลีทองคำในเรื่องมันทำให้เรารู้สึกว่า

 

​ “ต้องเป็นคนที่เข้าใจความเศร้าขนาดไหน ถึงจะคิดอะไรที่คมคายและเจ็บปวดแบบนี้ได้

จะมีใครบนโลกที่คิดเอาความรักเปรียบเทียบกับสัปปะรดกระป๋องที่ใกล้หมดอายุ มองเห็นความเศร้าผ่านห้องพักรูหนู เปรียบความรักเป็นเหมือนเครื่องบินซักลำ มันเป็นอะไรที่น่าสนใจ และถูกพูดออกมาผ่านวอยซ์โอเวอร์บนภาพตัวละครที่มันไม่ได้ฟูมฟาย ไม่ได้แปะป้ายตัวเองว่ากำลังเศร้า แต่คนดูอย่างเราสัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่ว่างเปล่าในใจเขา


อีกสิ่งที่เราชอบมากๆ ในเรื่องนี้คือการที่หนังมันไม่ต้องพูดอะไรเยอะ ไม่ต้องแนะนำตัวละคร ไม่ต้องเล่าที่มาและความสำคัญ ไม่ต้องบอกถึงพื้นเพหรือนิสัยใจคอของพวกเขา หนังพาเรามามองที่ความรู้สึกของตัวละครเพียงอย่างเดียวเท่านั้น เราไม่จำเป็นต้องรู้อะไรนอกจากตัวละครนี้เขารู้สึกอย่างไรสิ่งที่เขาเคยทำ กำลังทำ หรือคิดจะทำ มันไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลหรือคำอธิบายมารองรับ หนังแค่ต้องการถ่ายทอดความรู้สึกของคนๆ นี้ออกมาให้คนดูเข้าใจมากที่สุดเท่นั้นเอง ซึ่งมันอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้บางคนไม่ค่อยเอ็นจอยกับเรื่องนี้นัก เพราะหนังไม่ได้เน้นเล่าเรื่องแต่เน้นเล่าความรู้สึก” 


สุดท้ายนี้ นักแสดงเป็นอีกหนึ่งตัวขับเคลื่อนอารมณ์ของหนังได้อย่างดีมากๆ อย่างพระเอกทั้งสองคน 233, 663 เป็นผู้ชายสองคนที่ถ่ายทอดความเหงาออกมาได้เท่และน่ามองมากๆ ซีนยืนเหม่อ สูบบุหรี่ หรือการคุยกับตัวเอง ภายใต้แววตาอันแสนเศร้ามันกลับดูดีแต่ก็ทำให้เราเศร้าตามไปได้ แต่พอพลิกไปความหวาน น่ารัก โรแมนติก ก็สามารถส่งสายตาที่เต็มไปด้วยความรัก ความอ่อนโยนออกมาได้ 

และนางเอกทั้งสองพาร์ทอย่างสาวผมทองที่เราไม่ได้แม้แต่เห็นดวงตาของเธอภายใต้แว่นกันแดด แต่เราก็สัมผัสได้ถึงเสน่ห์อันล้นเหลือที่ทะลุออกมาผ่านแว่นกันแดดอันนั้นได้ และสุดท้าย นางเอกพาร์ทที่สองอย่างอาเฟยนั้นน่ารักมากๆ ใครที่ไม่ตกหลุมรัก ไม่หลงเสน่ห์เธอต้องมีจิตใจที่แกร่งกล้ามากๆ (ฮ่าาา) ทุกอย่างที่ตัวละครนี้แสดงออกมามัดูเป็นธรรมชาติ น่ารักแบบไม่ปรุงแต่ง โดยเฉพาะซีนเต้นไปพร้อมๆ กับเพลง California Dreaming มันคือเสน่ห์ที่ใครก็ทำแบบนี้ไม่ได้ เป็นความสดใสเล็กๆ ที่ทำให้เราส่งยิ้มออกมาได้ในเส้นเรื่องที่แสนจะปวดร้าวของหนัง ทุกครั้งที่เราฟังเพลงนี้ เราไม่สามารถสลัดใบหน้าของอาเฟยคนนี้ออกไปจากหัวได้เลยแม้แต่น้อย

9/10

I Know You Have Good Taste :)



Click ME


👇



ดูจบแล้วมาคุยกัน


เราเป็นคนไม่อินกับการร่ายคำคมของตัวละคร อย่างประโยคแรกที่ว่า
เวลาเศร้าผมจะออกไปวิ่ง ร่างกายจสูญเสียน้ำไปกับเหงื่อ จนไม่สามารถหลั่งน้ำตาได้
มันดูเป็นโควทที่ถ้าพูดในชีวิตจริงมันอาจจะฟังแล้วรู้สึกขมวดคิ้วแปลกๆ แต่พอมาอยู่ในหนังในซีนนั้นมันกลับดูโคตรเจ็บปวด ซึ่งมันเป็นความรู้สึกเดียวกับการดูหนังของชินไคที่ตัวละครมักพูดอะไรเท่ๆ ที่ถ้าหากคนพูดไม่ได้เป็นคนนั้น ไม่ได้อยู่ในซีนนั้น ไม่ได้มีภาพส่งมาให้เราแบบนั้น มันจะดูประหลาดมากๆ แต่อันนี้เรารู้สึกไปกับตัวละคร เข้าใจว่าคนๆ นึงที่สามารถคิดหรือพูดอะไรแบบนี้ออกมาได้มันต้องเป็นคนที่เจ็บปวดมากขนาดไหน 


เราอยู่ใกล้กันเพียง 0.01 เซ็นติเมตร ผมไม่รู้ว่าเธอเป็นใคร และในอีก 7 ชั่วโมงต่อมาผมก็ตกหลุมรักเธอ” “เราอยู่ใกล้กันเพียง 0.01 เซ็นติเมตร ผมไม่รู้ว่าเธอเป็นใคร และในอีก 6 ชั่วโมงต่อมา เธอก็ตกหลุมรักผู้ชายคนอื่นในหนังเราจะมองเห็นผู้คนขวักไขว่ คนในพื้นหลังของเรื่องดูไม่ได้มีความสำคัญอะไรต่อหัวใจของตัวเอก ทั้งพาร์ทนี้เราแทบไม่เห็นใบหน้าชัดๆ ของผู้คนเหล่านั้นเลยด้วยซ้ำ แต่กับบางคนนั้นไม่ใช่ 223 วิ่งผ่านผู้คนมากมายโดยที่ในใจเขาว่างเปล่าและเฝ้ารอการพบเจอเมย์แต่ครั้งหนึ่งที่เขาหยุดเฝ้ารอ หยุดมองหาแต่เพียงเธอ เขาได้พบเจอกับใครซักคนที่เขาอาจวิ่งผ่านและละเลยมาตลอดทั้งชีวิต การที่เขาได้รู้จักกับสาวผมทอง ได้แลกเปลี่ยนค่ำคืนอันโหดร้าย ได้เฝ้ามองและดูแลเธอยามหลับ ได้รับข้อความแฮปปี้เบิร์ดเดย์จากเธอ ไม่ว่าความสัมพันธ์นี้จะได้ไปต่อหรือไม่ ประโยคสุขสันต์วันเกิดง่ายๆ นั้นจะอยู่ในความทรงจำเขาไปตลอด และเรามั่นใจว่าชีวิตของ 223 นั้นจะเปลี่ยนแปลงไปด้วย เขาเรียนรู้ที่จะเลิกเฝ้ารอคนที่ไม่มีวันกลับมา และเริ่มออกตามหากระป๋องสัปปะรดอันใหม่ที่ไม่ได้กำลังจะหมดอายุในเร็ววัน


การเปรียบเทียบความรักเป็นสัปปะรดกระป๋อง หรือการรวบรวมซื้อสัปปะรดที่หมดอายุวันที่ 1 May จนครบ 30 กระป๋องถึงจะมั่นใจว่าเมย์จะไม่กลับมาแล้ว ดูแล้วอยากจะร้องจึ้กในใจ มันเป็นความเจ็บปวดที่เต็มไปด้วยความหวังในทุกๆ วันจนครบตลอดหนึ่งเดือน การเล่นกับวันหมดอายุก็เช่นกัน

 

รู้ตัวอีกที ทุกอย่างรอบตัวก็มีวันหมดอายุไปซะหมด ความสัมพันธ์ก็คงเป็นแบบนั้น” 

หากเราสามารถเขียนวันหมดอายุของความรักได้เอง ผมคงจะทำให้มันมีอายุนับนิรันด์

ในชีวิตจริง ไม่ว่าจะเป็นข้าวของประเภทไหนที่ซื้อมา รวมทั้งความสัมพันธ์ สุดท้ายแล้วมันมีวันหมดอายุกันทั้งนั้น ไม่มีอะไรที่อยู่เป็นนิรันด์อย่างที่ตัวเอกพูด แต่เวลาที่เราเลือกของในร้านค้า เรามักจะเลือกสินค้าที่วันหมดอายุอยู่ไกลออกไป เช่นตอนที่ตัวเอกได้ของหมดอายุมาจากร้านแล้วมอบให้คนจรจัด แต่เขาไม่รับด้วยประโยคที่ว่าหมดอายุวันนี้นี่ ไม่เอาหรอกการตามหาความรักก็เช่นกัน ความสัมพันธ์ที่ใกล้จะหมดอายุไม่ได้มีค่าพอให้เราเฝ้ารอและตามหามัน จงตามหาความรักที่สามารถมีอายุอยู่ได้นานเท่านาน เหมือนกับประโยคสุขสันต์วันเกิดที่มันจะอยู่ในใจตัวเอกตลอดไป



ตอนที่เธอไม่อยู่ ห้องนี้มันรู้สึกเศร้า” “แกผอมลงรึเปล่าเจ้าสบู่ ต้องดูและตัวเองให้ดีนะ” “ผมดีใจที่ได้เห็นผ้าขนหนูหลั่งน้ำตาออกมาบ้างเห้ย มันจะมีใครบนโลกที่เอาสิ่งของในห้องมาบอกเล่าและใส่เอาอารมณ์ของเจ้าของเข้าไปได้ ความเศร้าของ 663 เราว่ามีความคล้ายกับ 223 อยู่ตรงที่เขาเฝ้ารอการกลับมาของคนรัก แม้จะรู้ว่าโอกาสมันน้อยจนแทบไม่มี แต่เขาก็ยังคงเฝ้ารอและเชื่อว่าเธอคนนั้นจะกลับมาและทุกอย่างจะยังเป็นเหมือนเดิม การเฝ้ารอตรงนี้ทำให้เขาพลาดที่จะมองเห็นคนรอบข้าง ที่อาจเป็นคนของเขาได้เช่นกัน


663 เขาเศร้าจนแทบไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นของชีวิตตัวเอง เขาไม่ทันรู้ตัวว่าเขาหลับสบายขึ้น ห้องสะอาดขึ้น มีปลาในตู้มากขึ้น ราวกับว่าชีวิตของเขามันเต็มไปด้วยความเศร้าหมองจนไม่ได้ให้ความสำคัญกับชีวิตและความรู้สึกของตัวเองเลยแม้แต่น้อย ถ้าหากไม่ได้จับโป๊ะได้ว่าเฟยเป็นคนเข้ามาในห้อง เราเชื่อว่าเขาก็ยังคงเฝ้ารอและคิดว่าแฟนเก่ากลับมาหาตัวเองต่อไป แต่การที่เขาเข้าเจอเฟยในห้อง เราว่ามันก็คงเป็นคลิกนึงที่ทำให้เขาตระหนักได้ว่า เขาไม่จำเป็นต้องเฝ้ารอความรักจากคนๆ เดิมอีกต่อไป ยังมีคนข้างๆ ตรงนี้ที่รักและเป็นห่วงเขาอยู่ 


จากการที่ตัวเอกไม่กล้าที่จะเปิดจดหมายของแฟนเก่าอ่านด้วยซ้ำ เรามองว่าเขาคงกลัวการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น เขากลัวที่จะต้องรับรู้ว่าแฟนเก่าไม่ได้อยู่กับเขาแล้ว และหากเขารู้ความจริงแบบนั้น เขาจะไม่สามารถมีความหวังที่จะเฝ้ารออย่างที่เขาทำอยู่ทุกวันได้ ซึ่งกับจดหมายของเฟย มันทำให้เขาเห็นว่า 663 ก็เติบโตและเรียนรู้อะไรบางอย่างไม่ต่างจาก 223 เขากล้าที่จะเผชิญหน้าและยอมรับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น เขาไม่มีทางรู้เลยว่าจดหมายนั้นคือการตัดความสัมพันธ์หรืออาจจะเป็นประโยคบอกรักจากเธอก็ได้ แต่ไม่ว่าจะดีหรือร้าย การเฝ้ารอที่ไร้ซึ่งความหวังนั้นคงจะทำให้ชีวิตของเขาเต็มไปด้วยความโดดเดี่ยวและเศร้าหมองอย่างที่เคยเผชิญมา เช่นเดียวกับที่เราได้เห็นในตัวเอกทั้งสองพาร์ท

ความคิดเห็น