รีวิว 1917 : Long Take ในตำนาน ที่ควรค่าแก่การรับชม

 1917 

ศัตรูที่แท้จริงคือเวลาที่กำลังหมดลง


เราเดินเข้าไปดูแบบไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหนังได้เข้าชิงออสการ์มากถึง 10 สาขา พอดูจบออกมาก็เข้าใจเลยว่าทำไม หนังมันสุดยอดขนาดนี้แต่น่าแปลกใจที่คนไม่ค่อยพูดถึง 1917 ในวงกว้างกันซักเท่าไหร่นัก


1917 เป็นหนังสงครามที่ยกมาเฉพาะสิ่งแวดล้อมที่มีความเป็น "สงคราม" ไม่ได้พูดถึงเหตุการณ์ ไทม์ไลน์มากขนาดนั้น ดังนั้นถ้าหากไม่มีความรู้เรื่องสงครามโลกครั้งที่ 1 ก็สามารถเอ็นจอยไปกับเนื้อเรื่องได้เต็มที่ 


เพราะสิ่งที่หนังต้องการจะถ่ายทอดออกมาคือ "ความรู้สึก" ของทหารนายหนึ่งที่ต้องเผชิญหน้ากับความกลัวในจิตใจ ภายใต้หน้าที่อันสำคัญ 


เนื้อเรื่องเล่าถึงพลทหารที่ได้รับหน้าที่ให้ไปแจ้งข่าวกับทหารอีกกลุ่มเป็นพันคนให้ยกเลิกการโจมตี เพราะหากปล่อยให้บุกเข้าไปแบบนั้นคงจะตายกันหมดทั้งกอง ตัวเอกอย่างสกอร์ฟิลด์จึงมีหน้าที่ต้องไปแจ้งข่าวอันสำคัญนี้ให้ทันเวลาก่อนเริ่มการบุก เพื่อช่วยชีวิตเพื่อนทหารอีกกว่า 1600 นาย และหนึ่งในนั้นมีคนสำคัญอย่างพี่ชายของเพื่อนรักตนเองอยู่ด้วย


เนื้อเรื่องไม่ได้มีอะไรมากนอกจากเป้าหมายที่ต้องทำให้สำเร็จ แต่ตลอดทั้งเรื่อง ไม่มีวินาทีไหนเลยที่เราหายใจได้อย่างคล่องคอ มันทั้งอึดอัด กดดัน กลัว เหมือนกับว่าเราได้เดินตามติดตัวเอกคนนี้ เพื่อกอบกู้ชีวิตของคนที่กำลังจะต้องตายอยู่จริงๆ


ตลอดเวลาเกือบสองชั่วโมงกับภาพยนตร์ที่ไม่มีเนื้อเรื่องอะไรเลย เราชอบการที่หนังทำให้เราลุ้นไปพร้อมๆ กับตัวเอกตลอดการเดินทาง เราไม่รู้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นข้างหน้า เส้นทางที่ต้องเดินไปนั้นอันตราย และเต็มไปด้วยสงครามที่กำลังระอุ  อยู่ๆ ก็เจอนั่น อยู่ๆ ก็เจอนี่ แป๊บๆ ก็ตู้มต้าม เหมือนอยู่ในสงครามจริงๆ ที่คาดเดาอะไรไม่ได้ซักอย่างว่าตนนั้นจะตายเมื่อไหร่ หัวใจเต้นแรงตลอดทั้งเรื่อง


หนังรู้จังหวะของตัวเอง ใส่แต่ละสิ่งเข้ามาได้อย่างถูกเผง เหมาะเจาะ ตรงเวลา ทำให้กลายเป็น 2 ชั่วโมงที่เต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า ความกลัว ความกดดัน (ซึ่งเวลาผ่านไปเร็วมากๆ) 


ต้องขอบคุณ Sam Mendes ที่รังสรรค์อีกหนึ่งสุดยอดภาพยนตร์นี้ออกมา ตอนดูคือเราตื่นเต้นกับ long take มาก คือคิดว่าจัดมาสุดๆ ก็คงแค่ช่วงแรก ก็นั่งรอว่าเมื่อไหร่จะตัดฉากซักที ดูผ่านมาครึ่งเรื่องก็แล้ว จนจบก็แล้ว ไม่แปลกใจว่าทำไมอินขนาดนี้ เล่นจัด long take มาให้ตั้งแต่ต้นจนจบกันเลยทีเดียว! (มีตัดบางซีนบ้าง แต่เนียนมากกก อารมณ์ต่อเนื่องในแต่ละซีนตั้งแต่ต้นยันจบ) 


การถ่ายแบบ one shot มันเท่ มันทำให้คนดูนอกจากจะต้องตื่นเต้นกับตัวหนังแล้ว ยังทำให้ตื่นเต้นกับเทคนิกการถ่าย การแพนกล้อง การใส่เอฟเฟครวมถึงการแสดงของนักแสดงทุกคน มัน challenge กันทุกฝ่าย ทั้งตัวผู้กำกับเอง นักแสดง ฝ่ายฉาก cinematography และอื่นๆ อีกมากมาย เพื่อให้คนดูอย่างเราดึ่มด่ำกับหนังได้ขนาดนี้  (บางซีนคืออุทานในใจ ว่าเขาถ่ายกันได้ยังไง สุดจัด) ทำให้หนังเรื่องนี้มันกลายเป็นหนังที่มีคุณค่าและสวยงามมากขึ้นหลายเท่าตัว


อีกสิ่งที่ไม่ชมไม่ได้คือเรื่องของซาวด์ ทุกซีนคือเห็นชัดเจนเลยว่าซาวด์ที่ผุดออกมาในแต่ละซีนนั้นขับอารมณ์ของเราออกมาได้อย่างรุนแรงมากๆ เสียงเอฟเฟ็ค เสียงซาวด์แทร็กพวกนี้มันกระแทกหัวใจแรงๆ เพราะเนื้อหาหนังส่วนนึง ส่วนดนตรีประกอบก็เป็นอีกส่วนนึงที่สำคัญมากๆ เติมเต็มกันได้เต็มที่สุดๆ 


George Mackay เป็นหนึ่งในนักแสดงคุณภาพ ที่สามารถแบกหนังทั้งเรื่องไว้ผ่านสีหน้าและแววตาของเขาได้อย่างอยู่หมัด เขาสามารถสื่อสารอารมณ์ออกมาได้ดี ด้วยความที่บทมันไม่ค่อยเยอะ เพราะส่วนมากก็เดินทางคนเดียวไปเรื่อยๆ ไม่ค่อยได้พูดกับใคร แต่แม็คเคย์ทำให้เรารู้สึกได้ว่าเขาคิดอะไร ถ่ายทอดทั้งความกลัว ความเศร้า ความตกใจ หรือความสบายใจออกมาผ่านสีหน้าและแววตาโดยไม่ต้องมีคำพูดอะไร เรารู้สึกในแบบที่ตัวละครนี้จะรู้สึก ยิ่งขับให้อารมณ์ของหนังมันรุนแรงเข้าไปใหญ่


1917 เป็นอีกหนึ่งภาพยนตร์ที่เหมาะสมกับตำแหน่งเข้าชิงรางวัลออสการ์ และควรค่าแก่การได้รับชม แค่ long take แทบทั้งเรื่องก็คุ้มค่ามากพอให้ชื่นชมในความตั้งใจของทุกๆ ฝ่ายแล้ว บวกกับพล็อตที่มัดใจคนดูได้อยู่หมัดตลอดเวลา 2 ชั่วโมง อารมณ์ความกลัวตายแต่ก็กลัวเพื่อนร่วมชาติต้องมาตายเพราะภารกิจของเราไม่สำเร็จมันครุกกรุ่นอยู่ในใจจนแทบจะระเบิดออกมา ดูจบแล้วยังไม่หายเหนื่อย ต้องนั่งแช่ในโรงอีกแป๊บนึง มือไม้อ่อน ลุกไม่ขึ้นกันเลยทีเดียว


9/10

I Know You Have Good Taste :)



Click ME


👇


ดูจบแล้วมาคุยกัน


มันกดดันตลอดทั้งเรื่องจนลุ้นไม่หยุดเลยจริงๆ เราคิดว่าความกลัวตายมันก็คงต้องมีอยู่ในใจตัวเอก เขาคงอยากล้มเลิกภารกิจ ไม่ต้องเดินหน้าดิ้นรนหาความตาย ตั้งแต่เพื่อนร่วมทางตัวเองต้องตายต่อหน้าต่อตา ถ้าเป็นคนทั่วไปก็คงไม่คิดจะก้าวเดินต่อไปแล้ว แต่ด้วยความที่ภารกิจที่เขาได้รับนั้นแลกมากับชีวิตของ "เพื่อน" อีกเป็นพันคน เป็นกลุ่มคนที่เขาสามารถช่วยชีวิตไว้ได้หากเขาทำสำเร็จ และยิ่งไปกว่านั้นยังมี "พี่ชาย" ของเพื่อนที่ตัวเองปกป้องไว้ไม่ได้อีก มันจึงเป็นภารกิจที่หากตัวเอกนั้นไม่สามารถทำให้สำเร็จได้ มันคงจะติดค้างอยู่ในใจเขาไปชั่วชีวิต


จำนวนกองทหาร 1,600 นายที่ตัวเอกต้องไปช่วย มันดูอาจจะไม่ใช่ตัวเลขที่เยอะมาก เราชอบที่หนังไม่ได้ตั้งภารกิจที่ยิ่งใหญ่มากๆ ให้กับตัวเอก แต่ด้วยจำนวนเท่านี้ มันทำให้เรารู้สึกว่ามันเป็นจำนวนที่เยอะมากพอให้ตั้งใจและตัดสินใจเดินหน้าไปช่วย แต่ก็ไม่มากเกินกว่าที่จะทำให้ตัวเอกรู้สึกว่ามันเป็นภารกิจที่ยิ่งใหญ่เกินกว่าที่เขาจะทำไหว


 ซีนจบที่ตัวเอกวิ่งตัดสนามมันดีมากๆ ดีจนอยากร้องไห้ มันคือการวิ่งสุดชีวิต วิ่งฝ่าฟันทุกอย่าง แม้จะล้มก็ต้องลุก เจอระเบิดไล่กวดหลังก็ต้องวิ่งต่อ สิ่งเดียวที่เขาทำได้คือวิ่ง ตัวสกอร์ฟิลด์เองไม่ได้เก่งกาจ ไม่ได้กล้าหาญ ไม่ได้สามารถปกป้องทุกคนและประเทศเอาไว้ได้ แต่ ณ ชั่วขณะหนึ่งมันมีสิ่งที่เขาจะสามารถทำได้โดยไม่ต้องมีพลังวิเศษอะไร นั่นคือ "การวิ่ง" เขาจะช่วยเหลือทุกคนได้หากเพียงแค่เขาวิ่งไปถึงจุดหมาย และจอร์จก็ส่งความรู้สึกตรงนั้น พลังตรงนั้นออกมาสู่คนดูได้ เป็นไคล์แม็กซ์ซีนที่ทรงพลังที่สุด


ซีนพักผ่อนหย่อนใจระหว่างการเดินทางเป็นอีกซีนหนึ่งที่เราชอบเอามากๆ เหมือนกันว่าเป็นจุดเซฟโซนที่ตัวเอกสามารถหลับตาลงได้อย่างไม่ต้องกลัวว่าจะมีใครมาฆ่าเขาหรือไม่ หลังจากที่ทุกอย่างมันถาโถม มันรุกเร้าเข้ามาไม่หยุดหย่อนตลอดการเดินทาง ความกดดันที่ต้องแบกรับชีวิตคนมากมายเอาไว้มันทำให้เขาต้องเข้มแข็ง แต่ที่แห่งนี้มันทำให้เขาหายใจได้ทั่วท้อง เขากลัวได้ เขาอ่อนแอได้ เขาได้ทบทวนเรื่องราวการเดินทางของตัวเองอีกครั้งนึง เหมือนทั้งตัวเอกและเราเองได้ถูกชาร์จแบตที่นี่ ก่อนหน้านี้เขาอาจจะหวาดกลัวและอยากที่จะถอยหลังไปแล้ว แต่เราเชื่อว่าจุดพักผ่อนจุดนี้เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่ทำให้เขาอยากก้าวเดินต่อไป

ความคิดเห็น